3 วิธีในการขายสินค้าเข้าประเทศจีนและข้อดีข้อเสียในแต่ละช่องทาง
1.GENERAL TRADE(ผู้จัดจำหน่าย DISTRIBUTOR, นำเข้าอย่างเป็นทางการไปยังประเทศจีน)MODEL : B-Bข้อดี : 1. ขายได้ทุก ช่องทาง: ทั้งขายส่ง ขายปลีก ออฟไลน์ ออนไลน์ จัดทำเอกสารส่งออกจัดเจน มีฟอร์มอี ลดหย่อนภาษีได้
2. ปริมาณการขายสูง: ธุรกิจ B2B มักจะเกี่ยวข้องกับการซื้อขายในปริมาณมาก ทำให้มีกำไรที่สูงกว่าการขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป (B2C)
3. ความสัมพันธ์ระยะยาว: สามารถนำไปสู่ความมั่นคงและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
4. กระบวนการซื้อที่มีประสิทธิภาพ: การซื้อขายระหว่างธุรกิจมักมีกระบวนการที่เป็นมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น
5. ความยืดหยุ่นในเงื่อนไขการขาย: เนื่องจากการขาย B2B มักจะมีการเจรจาต่อรอง ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการขายให้สอดคล้องกับความต้องการของทั้งสองฝ่ายได้
ข้อเสีย :
1. สำหรับสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง อาหารเสริม ยา ค่าธรรมเนียมสูง
2. กระบวนการตัดสินใจที่ยาวนาน: เนื่องจากการตัดสินใจซื้อขายในธุรกิจ B2B อาจใช้เวลานานกว่าการขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป
3. การเจรจาในธุรกิจ B2B อาจซับซ้อนและใช้เวลามาก: เนื่องจากต้องมีการพูดคุยถึงรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ อย่างละเอียด
4. ความเสี่ยงในเรื่องของเครดิต: การขายให้กับธุรกิจอื่นๆ อาจต้องมีการให้เครดิต ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการได้รับชำระเงินล่าช้าหรือไม่ได้รับชำระเงินเลย แต่หากทำการซื้อขายแบบชำระเต็ม 100% ก็ลดความเสี่ยงลงได้ทันที
การทำธุรกิจในรูปแบบ B2B นั้นมีข้อดีมากมายที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้ แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องจัดการให้ดีเพื่อให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว
2.CROSS- BORDER E-COMMERCE การฝากสินค้าในคลังสินค้า
(นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศไปยังเขตปลอดอากร (Free Trade Zone) โดยผ่านกฎระเบียบพิเศษของทางศุลกากรและจำหน่ายผ่านทางแพลตฟอร์ม Cross-Border e-Commerce เท่านั้น)
MODEL : B2B2C
ข้อดี :
สินค้าอยู่ในเขตปลอดภาษี: ผู้ขายยังไม่ต้องชำระภาษีนำเข้า
การเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น: ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั้งจากธุรกิจพันธมิตร (B2B) และลูกค้าปลายทาง (B2C) ทำให้มีโอกาสขยายตลาดและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น
ข้อเสีย :
ขายปลีก: ได้แค่ใน Cross- boarder E-commerce platform เช่น Taobao, Tmall
มีปัญหาหากขายสินค้าไม่หมด ต้องจ่ายค่าทำลายสินค้า ขายปลีกได้อย่างเดียว เหมาะกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียง และมียอดขายคงที่แล้วในประเทศจีน และมีหลากหลาย SKU
ความซับซ้อนในการจัดการ: การบริหารจัดการธุรกิจที่ต้องรับมือกับทั้งคู่ค้าและลูกค้าปลายทางอาจมีความซับซ้อนและต้องการทรัพยากรในการจัดการมากขึ้น
โมเดล B2B2C นำเสนอข้อได้เปรียบในการขยายตลาดและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ แต่ก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนและความท้าทายในการจัดการที่สูงขึ้น ดังนั้นธุรกิจที่ใช้โมเดลนี้ต้องมีการวางแผนและบริหารจัดการอย่างรอบคอบเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
3.DIRECT MAIL
(ขายผลิตภัณฑ์จากเจ้าของธุรกิจสู่ผู้บริโภค FEDEX, SF, ZTO, DHL)
MODEL : B-C
ข้อดี :
1. ส่งสินค้าได้หลากหลาย เกือบทุกประเภทสินค้า
2. การเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง: ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้า และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้สามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างตรงจุด
3. กระบวนการขายที่รวดเร็ว: การขายตรงให้กับผู้บริโภคปลายทางมักจะมีกระบวนการตัดสินใจและการซื้อขายที่รวดเร็วกว่าโมเดล B2B
4. การเก็บข้อมูลลูกค้า: ธุรกิจสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลผู้บริโภคเพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด การขาย และการบริการลูกค้าได้
ข้อเสีย :
1. ค่าขนส่งสูง ใช้เวลาขนส่งนาน ภาษีสูง
2. การแข่งขันสูง: ตลาด B2C มักมีการแข่งขันที่สูง เนื่องจากมีผู้ขายหลายรายและผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย ทำให้ธุรกิจต้องพยายามแข่งขันในด้านราคา คุณภาพ และการบริการ
3. ต้นทุนการตลาดสูง: การเข้าถึงและดึงดูดผู้บริโภคต้องใช้เครื่องมือการตลาดและโฆษณาที่หลากหลาย ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
4. การจัดการโลจิสติกส์และการส่งสินค้า : ธุรกิจต้องมีการจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย